สาระน่ารู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ Cruelty-Free
“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” (Fine Feather make Fine Birds) แอดมินเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงได้ยิน หรือคุ้นเคยกับสำนวนนี้มาบ้างนะคะ แม้ว่าจะฟังดูโบราณ แต่ทุกวันนี้ก็ยังพิสูจน์ได้ว่า เรื่องของความงามกับคนเรานั้นเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ และตัวช่วยที่จะเสริมรูปโฉมของเราให้งดงามได้ก็คือ “เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว” นั่นเอง แต่ในยุคที่เครื่องสำอางเป็นมากกว่าสิ่งประทินผิวและกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ใหญ่ ผู้บริโภคอย่างเราจะใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจเลือกสรร?
นอกจากคุณภาพ ความคุ้มค่า แพคเกจจิ้ง สีสัน หรือ ความอินเทรนด์ การเลือกเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวด้วยหลักการคำนึงถึงความถูกต้องทั้งศีลธรรมและจริยธรรม ยังเป็นปัจจัยสำคัญของกลุ่มผู้บริโภคที่เริ่มหันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการใช้สัตว์เป็นเครื่องทดลองผลิตภัณฑ์ที่บ่อยครั้งมีการกระทำที่ทารุณและเบียดเบียนชีวิตสัตว์เหล่านี้อย่างมาก
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้อยู่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของการทารุณเหล่าเพื่อนร่วมโลกของเรา? สำหรับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม เรามักเห็นสัญลักษณ์รูป “กระต่าย” บนฉลากเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิดพร้อมกับข้อความ “Cruelty-Free” สัญลักษณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง แต่จะมีที่มาอย่างไรครั้งนี้แอดมินจะมาไขความกระจ่างสัญลักษณ์นี้ให้เพื่อนๆ รู้กัน เลื่อนอ่านต่อได้เลยค่า
People say “Fine feather make fine birds”. You might feel familiar with this proverb. Though it sounds outdated, it can’t be denied that beauty and humans are inseparable. “Cosmetic and skincare products” are the items that keep us looking gorgeous. These days, cosmetics are far more than just skincare products, and the beauty industry has grown extremely huge. So, what should be the criteria that we need to consider when choosing beauty products
Apart from quality, value, packaging, color, or product trends, other factors that consumers nowadays increasingly take into account are morals and ethics due to the rise of environmental concerns, especially the issue of cosmetic testing on animals. Such intrinsic evil at times causes great pain and suffering to those experimental animals.
But how do we know that cosmetic or beauty products we use are cruelty-free? For most beauty and personal care products, you can simply look for the “Bunny” logo or the “Cruelty-Free” message displayed onthe package which is directly related to the animal-testing issues. But where do the logos come from? Dig into the origin of these logos with us.
เรื่องราวของกระต่ายน้อยกับสัญลักษณ์ Cruelty-Free
The story of the little bunny and “Cruelty-Free” Logo
เพื่อนๆ เคยสังเกตไหมคะว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางยี่ห้อในท้องตลาดจะมีสัญลักษณ์เจ้ากระต่ายตัวน้อยอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของแพคเกจจิ้ง หรือตรงรายชื่อส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้นๆ พร้อมข้อความ “Not Tested in Animal” หรือ “Cruelty-Free” ซึ่งบ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่ผ่านการทดลองกับสัตว์ หากเห็นแค่นี้เพื่อนๆ ก็อาจพออุ่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่จะไม่ผ่านการทดลองกับสัตว์ในทุกขั้นตอนการผลิต แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า “ทำไมถึงต้องเป็นกระต่ายด้วยล่ะ”
แน่นอนว่ากว่าเครื่องสำอางสีสันสวยสดหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะมาสู่ถึงมือผู้บริโภค หลายบริษัทมักเลือกใช้สัตว์ทดลอง (Animal Testing) เช่น กระต่าย, หนูบ้าน, หนูแฮมสเตอร์ หนูตะเภา ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็กมาทดลองสูตรและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ซึ่งมีหลายขั้นตอนที่ทารุณกรรมต่อสัตว์เหล่านี้อย่างมาก ตั้งแต่
1. การทดสอบการระคายเคืองผิว (Skin Irritation Test)
2. การทดสอบความเป็นพิษเมื่อต้องแสง (Photo Toxicity Test)
3. การทดสอบความระคายเคืองต่อนันย์ตา (Ocular Irritation Test)
4. การทดสอบประสิทธิภาพซึมซาบสู่ผิวหนัง (Transdermal Permeability Test)
กระบวนการเหล่านี้ส่งผลต่อสัตว์ทดลองโดยตรง เพราะต้องถูกนำมาใช้ทดลองสูตรจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ สัตว์ทดลองบางตัวต้องประสบกับชะตากรรมที่โหดร้าย เช่น การนำสารเครุนแรงมีฉีดเข้าไปในร่างกายและอวัยวะของสัตว์ทดลอง หยอดสารเคมีไปในดวงตา และอื่นๆ อีกมากมาย ปัจจุบันนี้ กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทั่วโลกยังมีการทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์อยู่ จึงทำให้เกิดการรณรงค์เพื่อทำให้ผู้บริโภคหันมาตระหนักถึงประเด็นนี้มากขึ้น
และเพื่อทำให้เกิดข้อปฏิบัติที่รัดกุม จึงมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ออกมากำหนดข้อตกลงและข้อปฏิบัติให้ผู้ผลิตดำเนินตาม โดยจะต้องผ่านการประเมินและตรวจสอบอย่างละเอียดถึงจะได้รับอนุญาตใช้สัญลักษณ์ “ไม่ทดลองกับสัตว์” บนฉลากผลิตภัณฑ์ ความสำคัญของสัญลักษณ์นี้ นอกจากจะจะทำให้ผู้ผลิตงดการทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์ ยังช่วยทำให้ผู้บริโภครู้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ผ่านกระบวนการทดลองกับสัตว์อย่างแน่นอน นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ค่ะ
Have you ever spotted the Bunny Logo at a corner of the package or the messages like “Not Tested in Animal” or “Cruelty-Free” shown in the list of product ingredients of cosmetic or skincare products? The logo and messages indicate that the products are not tested on animals. When you see the logo, you can rest assured that animal testing has not been conducted in any manufacturing process. The important question is “Why it has to be a bunny?”
Many companies integrate animal testing methods in their processes before getting colorful cosmetic or skincare products into the hands of consumers. Small animals such as rabbits, rats, hamsters, or guinea pigs are selected as experimental animals to test the formula and efficiency of the products. These processes listed below are the underlying cause of animal cruelty.
1. Skin Irritation Test
2. Photo Toxicity Test
3. Ocular Irritation Test
4. Transdermal Permeability Test
These processes directly affect the experimental animals. Faced with the brutal fate, they have to suffer from the cruel experiments until the manufacturers become satisfied with the outcomes from getting harmful chemical injections into their bodies or organs, dropping some chemicals into their eyes, to many more. Nowadays, more than 80 percent of cosmetic, skincare, and cleaning products manufacturers around the world still test their products on animals. Accordingly, the campaign against animal testing is launched to raise more awareness on the issue.
To establish concise practices regarding animal testing, organizations and bodies have determined agreements and regulations that require the manufacturers to comply with. The companies need to pass all specified criteria and evaluations before they can use “Not Tested in Animal” on the product label. Not only does this requirement encourage more manufacturers to stop testing their products on animals, but it also informs the consumers that their product is absolutely cruelty-free. It’s an alternative for a better world for the customers.
ความแตกต่างของสัญลักษณ์ Cruelty-Free แต่ละชนิด
The differences among “Cruelty Free” Logos
ปัจจุบัน หากลองสังเกตผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเลือกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปราศจากการทดลองกับสัตว์ (Animal Testing Free) จะพบว่าสัญลักษณ์ Cruelty-Free นั้นมีหลากหลายรูปแบบมาก ทั้งแบบสัญลักษณ์รูปกระต่ายหรือเป็นเพียงข้อความว่า “Not Tested on Animals” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน แอดมินจะมาอธิบายความแตกต่างของสัญลักษณ์ Cruelty-Free อย่างเป็นทางการที่พบได้บ่อยบนฉลากผลิตภัณฑ์กันนะคะ
When you take a closer look at Animal Testing Free products, you will realize that the logos displayed on the package look different. Some products may use pictorial marks whereas some may use only “Not Tested on Animals” label. To avoid confusion, we will explain the differences among the official Cruelty-Free logos commonly found on the products.
Leaping Bunny (CICC Rabbit): สัญลักษณ์กระต่ายกำลังกระโจนไปข้างหน้าพร้อมดาวสองดวง (Leaping Bunny) เป็นตราสัญลักษณ์ที่ออกแบบโดยหน่วยงาน Coalition for Consumer Information on Cosmetics (CCIC) ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา การที่จะได้มาจะต้องผ่านการตรวจสอบว่าแบรนด์นั้นๆ ไม่มีการทดลองกับสัตว์อย่างแท้จริง ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตส่วนผสมผลิตภัณฑ์ด้วย นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์นั้นยังไม่สามารถวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศที่อนุญาตให้มีการทดลองกับสัตว์ได้อย่าง ประเทศจีน เป็นต้น ในทุกๆ ปี ทางหน่วยงานจะมีการตรวจสอบแบรนด์ที่ใช้สัญลักษณ์ Leaping Bunny เพื่อสร้างมาตรฐานรัดกุมต่อเนื่อง
Leaping Bunny (CICC Rabbit): The Leaping Bunny Logo with 2 stars was designed by Coalition for Consumer Information on Cosmetics (CCIC) in USA and Canada. Before being certified to use the logo, the company has to prove that there is absolutely no animal testing during product development, including ingredients or formulation contained. Furthermore, the brand using this particular logo cannot sell their products in the countries where animal testing is permitted, such as China. Every year, the brands using the Leaping Bunny Logo will be inspected in order to consistently maintain strong standards.
Cruelty-Free PETA Bunny: สัญลักษณ์กระต่ายที่ใบหูมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจพร้อมข้อความ Cruelty-Free นี้ออกแบบและออกโดยองค์กร People for the Ethical Treatment of Animals หรือเรียกสั้นๆ ว่าองค์กร PETA นั่นเอง โดยผู้ขอใช้ตราสัญลักษณ์จะต้องชำระค่าสมัครเข้าโปรแกรมและยึดถือข้อปฏิบัติ เช่น ทุกขั้นตอนการผลิตจะต้องปราศจากการทดลองกับสัตว์ ปัจจุบันสัญลักษณ์นี้ได้มีการปรับเปลี่ยนให้มีหน้าตาแตกต่างไปจากเดิม แต่ยังคงยึดมั่นในกฎเกณฑ์พิทักษ์สัตว์เช่นเดิมอยู่
Cruelty-Free PETA Bunny: The logo displaying a bunny with heart-shaped ears and the Cruelty-Free label was designed and launched by People for the Ethical Treatment of Animals Organization known as “PETA”. The companies certified by PETA Bunny have to register for the program with a fee and act in compliance with all the specified regulations, such as using non-animal testing approaches in all processes. The logo used nowadays might look slightly different, however, the mission to protect animals still remains.
Choose Cruelty-Free Bunny: สัญลักษณ์รูปกระต่ายพร้อมข้อความ “Not Tested on Animals” นี้ ออกโดยหน่วยงาน Choose Cruelty-Free หรือ CCF ซึ่งเป็นองค์การเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับหน่วยงาน CICC และ PETA นั่นก็คือการปกป้องพิทักษ์สัตว์จากการนำมาใช้ทดลอง ข้อแตกต่างของสัญลักษณ์ Choose Cruelty-Free Bunny อยู่ที่การใช้งาน โดยแบรนด์ที่จะได้รับตราสัญลักษณ์นี้มักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศออสเตรเลียและต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่เข้มข้นทุกขั้นตอน
Choose Cruelty-Free Bunny: The logo displaying a bunny with the “Not Tested on Animals” message was designed by Choose Cruelty-Free organization or CCF, the Australian private nonprofit organization. The organization shares the same goal as CICC and PETA which is to stop animal testing. The Choose Cruelty-Free Bunny Logo requires different practices. To be accredited, the brands are required to be manufactured in Australia and have to strictly abide by specified rules and regulations in every process.
3 เหตุผลที่ควรเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ Cruelty-Free
3 Reasons why you should support Cruelty-Free products
ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเปลี่ยนแปลง
Taking part in changing for the better
การเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากการทดลองกับสัตว์ เป็นจุดเริ่มต้นดีๆ ที่ผู้บริโภคอย่างเราทุกคนจะสามารถช่วยเหลือสัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านี้ได้ในทางหนึ่ง เพราะเมื่อผู้บริโภคเกิดการตระหนักรู้และหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ปราศจากการทดลองกับสัตว์ในวงกว้าง ก็อาจทำให้วิธีการอันทารุณกรรมต่อสัตว์เหล่านี้ลดลงได้ในอนาคตค่ะ
Supporting cruelty-free products is a good beginning that an individual consumer can do to help these experimental animals from suffering. When people become more aware of animal testing and support more cruelty-free products, it’s possible that fewer animals are used for the experiment in the future.
ค่อนข้างมีส่วนผสมที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน
Containing safe ingredients for consumers
ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากการทดลองกับสัตว์ส่วนใหญ่มักจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการเลือกใช้ส่วนผสมไปจนถึงกระบวนการผลิตและส่งถึงมือผู้บริโภค ทำให้ผู้ผลิตนิยมใช้ส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยต่อผู้บริโภคแทนการใช้สารเคมีอันตราย นอกจากนั้นบางแบรนด์ยังได้รับการรับรองว่าเป็นผลิตภัณฑ์วีแกน (Vegan) และออร์แกนิค (Organic) อีกด้วย
Cruelty-free products usually have undergone extensive monitoring and evaluation processes from selecting ingredients to manufacturing until the products get into the hands of consumers. The manufacturers, therefore, prefer a safer option like natural ingredients rather than chemicals in their products. Some brands are also recognized as manufacturers of vegan and organic products.
มีตัวเลือกที่หลากหลาย
Offering a wide variety of options
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ปราศจากการทดลองกับสัตว์คุณภาพดีอยู่มากมายในท้องตลาดให้เลือกสรร เนื่องจากกระแสรักษ์โลกและการตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค จึงทำให้แบรนด์ต่างๆ เริ่มหันมาปฏิบัติวิถี Cruelty-Free มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์เทรนด์สวยรักษ์โลก
Nowadays, you can find more top-quality, cruelty-free product options in the market. Thanks to the rise in environmental concerns, more consumers seek a way to live in harmony with nature. So, a lot more brands integrate Cruelty-Free practices to keep up with the emerging eco-friendly trend.
คราวนี้ก็คงรู้แล้วใช่ไหมคะว่าสัญลักษณ์และความสำคัญของ Cruelty-Free นั้นมีดีอย่างไร ครั้งหน้าถ้าเพื่อนๆ กำลังตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามอื่นๆ ที่ ท็อปส์ ก็อย่าลืมสังเกตสัญลักษณ์เจ้ากระต่ายตัวน้อยนี้กันนะคะ แค่นี้ก็ทำให้เพื่อนๆ มั่นใจได้ว่าจะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นมิตรต่อเหล่าเพื่อนร่วมโลกแน่นอนค่ะ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยมือเรากับแอดมินนะคะ ^^
Now you know the importance and the origin of the Cruelty-Free Logo. Next time when you think of buying health and beauty care products at Tops, don’t forget to look for the Bunny Logo on the package. This way, you can rest assured that you get good-quality and animal-friendly products. Join us in changing for the better ^ ^.
Comments